"พญาครุฑ"
เทพพาหนะแห่งพระวิษณุ
พญาครุฑ สัตว์เทพ
พาหนะแห่งมหาเทพวิษณุและพระแม่ลักษมีเทวี / dollsofindia.com
พญาครุท พาหนะเอกแห่งพระศรีมหาวิษณุเทพ
พญาครุทเทพเจ้าครึ่งนกครึ่งมนุษย์
ผู้อยู่เคียงข้างพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์มหาเทพ
พญาครุฑ
: เทพพาหนะ
คัมภีร์ปุราณะของฮินดูเล่าถึงกำเนิดพญาครุฑไว้ว่า
ครั้งหนึ่งพระทักษะปชาบดีได้ยกสิบสามนางให้พระกัศยปเทพบิดร (Kasyapa) ซึ่งธิดาสององค์
คือนางวินตา (Vinta) และนางกัทรุ (Kadru) แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
โดยนางกัทรุขอพรจากพระกัศยปให้มีบุตรเป็นนาคหนึ่งพันตัว
ส่วนนางวินตาขอพรให้มีบุตรเพียงสององค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าบุตรของนางกัทรุ
นางกัทรุคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งพันฟอง
เมื่อเวลาผ่านไปห้าร้อยปีกก็บังเกิดเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตา
คลอดลูกเป็นไข่สองฟอง หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานไข่ก็ยังไม่ฟักเป็นตัว
นางวินตาจึงทุบไข่ใบแรกปรากฏเป็นเทพมีเพียงครึ่งองค์ ไม่มีท่อนล่าง
เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดนามว่า อรุณเทพบุตร
พระอรุณโกรธนางวินตา ที่ทำให้ตนพิการ
จึงสาปให้ต้องไปเป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลาห้าร้อยปี แต่ก็บรรเทาคำสาปว่า
หากนางวินตาสามารถทนรอไปอีกห้าร้อยปีจนไข่อีกฟองหนึ่งฟักเป็นตัว
บุตรในไข่ใบที่สองจะช่วยนางให้พ้นคำสาป
ต่อมานางวินตา
และนางกัทรุแข่งพนันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์
โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดแพ้ต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกเข้าไปแทรกอยู่ในรถขนม้า
เพื่อให้สีเปลี่ยนไป นางวินตาจึงแพ้พนัน กลายเป็นทาสของนางกัทรุ
หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปี
ไข่ใบที่สองก็แตกออกมาเป็นบุตรผู้มีกำลังมหาศาล
มีรัศมีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศีรษะจงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี
แต่ร่างกายและแขนขาเหมือนมนุษย์มีนามว่า "เวนไตย" (แปลว่า
เกิดจากนางวินตา)
เมื่อพญาเวนไตยเติบโตขึ้น
ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย จึงขอไถ่ตัวนางวินตาจากเหล่านาค
พวกนาคก็ยินยอม โดยมีข้อแม้ว่า
พญาเวนไตยต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์มาให้พวกตน
พญาเวนไตยตกลง
โดยก่อนออกเดินทางได้ขอพรจากมารดา ซึ่งนางวินตาบอกว่า ระหว่างทางหากหิว
ให้กินเฉพาะคนป่าเถื่อน (นิษาท) และห้ามทำอันตรายพวกพราหมณ์โดยเด็ดขาด
พญาเวนไตยก็รับคำมารดา
พญาครุฑและนาค
คู่ปรับตลอดกาล
ในระหว่างทางเมื่อเกิดความหิวก็จับพวกนิษาทกินเป็นอาหารแต่ก็ไม่อิ่ม
จึงไปจับเต่า (วิภาวสุ) และช้าง (สุประตึกะ) ซึ่งเดิมเป็นอสูรพี่น้อง
แต่เกิดความโลภแย่งสมบัติกัน ต่างฝ่ายต่างสาปให้กลายเป็นเต่าและช้างที่มีขนาดใหญ่โตมาก
พญาเวนไตยเอาปากคาบสัตว์ทั้งคู่บินไปเกาะกิ่งไทรที่มีความยาวถึงหนึ่งร้อยโยชน์
แต่กิ่งไทรทานน้ำหนักไม่ไหว หักลงมา
พญาเวนไตยแลเห็นว่าบนกิ่งไทรมีพวกฤาษีแคระซึ่งเรียกว่า "พาลขิยะ"
มีขนาดเท่านิ้วมือ จึงเอาเท้าจับกิ่งไทรบินพาไปวางไว้ที่เขาเหมกูฏ
นารายณ์ทรงครุฑ
ปางสำคัญแห่งพระวิษณุมหาเทพผู้รักษาโลก
พวกฤๅษีเห็นว่าพญานกตนนี้มีจิตใจงดงาม
จึงให้ชื่อว่า "ครุฑ" (Garuda ภาษาเดิมอ่านว่า คะ-รุ-ทะ)
แปลว่าผู้รับภาระอันหนัก ทั้งยังให้พรว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใดให้สำเร็จตามประสงค์
และให้มีพละกำลังมหาศาล ไม่มีผู้ใดต้านทานได้
จากนั้น พญาครุฑก็บินไปยังเทวโลก
นำน้ำอมฤตออกมา พระวิษณุเสด็จมาพบเข้าจึงสู้รบกัน แต่ต่างไม่สามารถเอาชนะกันได้
พระวิษณุทรงพอพระทัยจึงทรงให้พรตามที่พญาครุฑต้องการ พญาครุฑขอพรสองประการคือ
ขอเป็นพาหนะให้พระวิษณุในเวลาเสด็จไปยังที่ต่างๆ แต่ในยามปกติขออยู่เหนือพระวิษณุ
และขอให้มีความเป็นอมตะแม้จะไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตก็ตาม พระวิษณุก็ทรงให้พรตามที่ขอ
และยังทรงอนุญาตให้สามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้ ยกเว้น "เศษะนาค" และ
"นาควาสุกรี" ซึ่งเป็นผู้เคารพในพระองค์
เมื่อพญาครุฑออกเดินทางต่อ
ปรากฏว่าพระอินทร์ตามมาแย่งน้ำอมฤตคืน เกิดสู้รบกัน พระอินทร์สู้ไม่ได้
จึงทำสัญญาเป็นมิตรกัน
พญาครุฑบอกให้พระอินทร์ตามไปเอาน้ำอมฤตคืนหลังจากที่ตนส่งน้ำอมฤตให้พวกนาคแล้ว
เมื่อพญาครุฑกลับมา ก็นำน้ำอมฤตไปไถ่ตัวมารดา
แล้วออกอุบายให้พวกนาคไปชำระร่างกายก่อนดื่มน้ำอมฤต เมื่อพวกนาคหลงกล
พระอินทร์ก็ทรงฉวยเอาน้ำอมฤตกลับสวรรค์
ด้วยเหตุดังกล่าว
พญาครุฑจึงเป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ ในยามที่เสด็จไปยังที่ต่างๆ
ส่วนในยามปกติพญาครุฑจะอยู่บนเสาธงนำขบวนของพระวิษณุ เรียกว่า “ครุฑธวัช”
นอกจากตำนานข้างต้นแล้ว
ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง
โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์
ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์
ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์
และประจำรัชกาล เป็นต้น ซึ่งจากการที่เราใช้ “ตราครุฑ”
เป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ
และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล
ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย
เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ
ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า “ธงมหาราช”
เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง
เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ธงมหาราชนี้ เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ
พระราชวังใดแสดงว่า พระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น
สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ ๓
ลำคือเรือครุฑเหินเห็จเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค
เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ
เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ
เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
นอกเหนือจากการที่ “ตราครุฑ”
ปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย
โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์มโดยมีข้อความประกอบว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต”
ต่อมาในรัชกาลที่
๖ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้
แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย
ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูปเป็นต้นแล้ว
ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน
ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง
เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล
สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล
ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น
หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น