Translate

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เทพบาเตส (Bastet)

เทพบาเตส (Bastet) เทพเจ้าแห่งความรัก และความอุดมสมบูรณ์ ของอียิปต์

        


ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้า "Bastet" (เทวีบัสเตต) ซึ่งมีตัวเป็นคน แต่มีหัวเป็นแมว เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก และความอุดมสมบูรณ์

นอกจากชาวอียิปต์จะใช้แมวจับหนูในโรงนาแล้ว ยังใช้แมวจับหนูบนเรือสินค้าอีกด้วย ตรงจุดนี้ เลยเกิดความเชื่อว่า เมื่อเรือเทียบท่า แมวก็ลงจากเรือ แต่ไม่ได้กลับขึ้นเรือจึงทำให้แมวขนาดพันธุ์ไปทั่วโลก



ชาวอียิปต์โบราณนั้นนับถือแมวถึงขนาดแมวในบ้านตาย ยังต้องนำไปทำมัมมี่เลย (มัมมี่คนจะทำเฉพาะราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น) มัมมี่แมวสามารถหาดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ



ในเมื่อแมวเป็นสัตว์เทพเจ้าของอียิปต์โบราณ จึงมีกฎ หากใครฆ่าแมว จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก



พวกที่ต้องการยึดครองอาณาจักรอียิปต์โบราณ จึงใช้วิธีชั่วร้าย "อุ้มแมวไปรบ" แล้วพวกทหารอียิปต์จะสู้ได้อย่างไร (เป็นส่วนหนึ่งของการรบอียิปต์ไม่ได้ล่มสลายเพราะแมว) แต่ถึงอียิปต์โบราณจะล่มสลายไปแล้ว ชาวอียิปต์ในสมัยก่อนยังนับถือบูชาแมวเหมือนเดิม ขนาดชาวโรมันบางคน (สมัยนั้นโรมันปกครองอียิปต์) ฆ่าแมวยังถูกพวกอียิปต์ลงโทษเลย



ต่อมาเข้าสู่ยุคกลางในยุโรป มีความเชื่อเรื่องแม่มด และความชั่วร้ายต่างๆ ชาวยุโรปในยุคนี้กล่าวหาว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด (โดยเฉพาะแมวดำ) ดังนั้นใครเลี้ยงแมว จะถูกประณามว่าเป็นแม่มดร้าย ยิ่งเป็นคนแก่เลี้ยงแมวยิ่งแล้วใหญ่ พวกนี้มักจะโดนเผาทั้งเป็น ทั้งคนและแมว ดังนั้นเมื่อแมวน้อยลง จึงทำให้มีหนูมากขึ้น ทำให้กาฬโรคระบาดหนักในยุโรปช่วงนั้น



ในยุคใกล้ๆกัน แถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นกับจีน เริ่มเลี้ยงแมวกันมากขึ้นจากเดิมที่เคยเลี้ยงอยู่แล้ว และที่ญี่ปุ่นก็ยังใช้แมวเป็นสัญลักษณ์นำโชคอีกด้วย จะเห็นได้จาก "แมวกวัก" ที่ใช้กันตามร้านค้า จะใช้กวักลูกค้า หรือกวักเงินก็แล้วแต่ท่าทางของแมวตัวนั้น และที่จีนก็เชื่อว่า แมวเป็นสัตว์นำโชค เพราะว่าแมวจะเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็ต่อเมื่อมันพอใจที่จะอยู่เท่านั้น เมื่อมันเข้ามาอยู่แล้วเจ้าของบ้าน มักจะมีโชคลาภมา


อ้างอิง

http://www.tumnandd.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AA-bastet-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7/

เทพฮาเดส (Hades)

เทพฮาเดส (Hades) หรือเทพเจ้าพลูโต เทพแห่งความตาย

 


            …ตำนานกรีกโบราณเทพที่เทพผู้เป็นใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า โปเซดอน อีกองค์หนึ่งก็คือ ฮาเดส (หรือชาวโรมัน เรียกว่า พลูโต)



             แดนบาดาลหรือยมโลกและคนตายต่างก็อยู่ในความปกครองของเทพองค์นี้ทั้งหมด คำว่า"พลูโต"นี้มีความหมายว่า เทพแห่งทรัพย์ เพราะถือกันว่า นอกจากยมโลกแลัว ท้าวเธอฮาเดสยังครองมวลธาตุล้ำค่าใต้พื้นพิภพอีกด้วย บางทีจึงมีชือว่า ดีส (Dis) แปล ตรงตัวว่า ทรัพย์ (บางแห่งกล่าวว่า ฮาเดสครองยมโลกและคนตายเท่านั้น ส่วนเทพผู้ครองความตายนั้นมี อีกองค์หนึ่ง เรียกว่า ธานาทอส (Thanatos)ในภาษากรีก หรือ ออร์คัส (Orcus) ในภาษาลาตินเป็นคู่กันกับ ฮิปนอส (Hipnos- เทพประจำ ความหลับ) แม้ว่าเทพฮาเดสอยู่ในเหล่าเทพแห่งเขาโอลิมปัส แต่เธอก็ไม่ค่อยจะได้ออกจากยมโลก ขึ้นไปยังเขาโอลิมปัสเท่าไหร่นัก เธอ เองก็ไม่ใช่แขกที่ใครๆยินดีต้อนรับ เพราะแม้แต่เทพเจ้าด้วยกันเองยังกลัว เนื่องจาก เธอปราศจากความเวทนาสงสาร แต่กอปรด้วย ความยุติธรรม เธอมีหมวกวิเศษใบหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้สวมหายตัวได้



              ภายในยมโลกนั้น ชาวกรีกในสมัยโบราณเชื่อว่า ดวงวิญญาณของคนทุกคุณ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะถูกพาไป รับคำพิพากษาของคณะเทพสภาในยมโลก ซึ่งอยู่ในชั้นบาดาลใต้พื้นพิภพ เป็นอาณาจักรอยู่ในความปกครอง ของเทพฮาเดส การพาดวงวิญญาณคนตายลงไปยังบาดาลเป็นหน้าที่ของเฮอร์เมส เทพพนักงานสื่อสาร ของซูส ซึ่งตำแหน่งของยมโลกนี้ บ้างก็ว่าอยู่ใต้สถานที่เร้นลับของโลก บ้างก็ว่าทางลงอยู่ที่ขอบพิภพโดยข้าม มหาสมุทรไป ส่วนกวีในขั้นหลังๆจึงบอกว่าทางลงมีหลายทางนั้นเอง ซึ่งทางลงนั้นนำไปถึงแม่น้ำแห่งความ วิปโยค ชื่อว่า แอกเครอน (Acheron) แม่น้ำนี้ไหลไปสู่แม่น้ำอีกสายหนึ่งเรียกว่าแม่น้ำแห่งความ กำสรวลชื่อ โคไซทัส (Cocytus) ตรงที่แม่น้ำทั้งสองสายนี้บรรจบกัน มีคนเรือจ้างแก่ ๆ คนหนึ่งชื่อว่า เครอน (Charon) คอยรับ วิญญาณข้ามฟากไปสู่ยังประตูแข็งแกร่งดังเหล็กเพชร ซึ่งเป็นทางเข้าตรุลึกลง ไปเรียกว่า ทาร์ทารัส (Tartarus) ส่วนเขตชั้นนอกที่ผ่านมาแล้วเรียกว่า เอรีบัส (Erebus) เครอน จะรับลงเรือแต่เฉพาะดวงวิญญาณที่มีเงิน เบิกทางติดปากไปและได้ผ่านพิธีฝังเรียบร้อยแล้วเท่านั้น อันนี้เห็นจะเป็นเหตุของชาวกรีกสำหรับประเพณีเอา เงินใส่ปากคนตาย ฝัง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำตามๆกันอยู่หลายชาติ



             ส่วนเขตชั้นนอกที่ผ่านมาแล้วเรียกว่า เอรีบัส (Erebus) เครอน จะรับลงเรือแต่เฉพาะดวงวิญญาณที่มีเงินเบิกทาง ติดปากไปและได้ผ่านพิธีฝังเรียบร้อยแล้วเท่านั้น อันนี้เห็นจะเป็นเหตุของชาวกรีกสำหรับประเพณีเอา เงินใส่ปากคนตายฝัง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำตามๆกันอยู่หลายชาติ



             ที่หน้าประตูทางเข้าตรุทาร์ทะรัส มีสุนัขเฝ้าตัวหนึ่งเรียกว่า เซอร์บิรัส (Cerberus) มีหัวสามหัว หางเป็นหางมังกร มันจะยอมให้วิญญาณของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูก พาไปรับคำพิพากษาของสามเทพสุภา คือ แรดาแมนธัส ,ไมนอส และ ออร์คัส วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทน ทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่วกัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยังทุ่งอีลิเซียน แดนสุขาวดีของกรีกที่ เคยกล่าวถึงมาแล้ว



              นอกจากแม่น้ำแอกเครอนกับโคไซทัสที่เอ่ยถึง ยังมีแม่น้ำอื่นอีกสามสายคั่นบาดาลไว้ต่างหากจาก พิภพเบื้องบน สายหนึ่งมีชื่อว่า เฟลจีธอน (Phlegethon) เป็นแม่น้ำไฟ สายที่สองชื่อ สติกส์ ( Styx ) เป็นแม่น้ำสาบานของเทพทั้งปวง สายที่สามชื่อ ลีธี (Lethe) แม่น้ำแห่งความลืม หรือแม่น้ำล้างความทรง จำ สำหรับให้ดวงวิญญาณ ในตรุทาร์ทะรัสดื่มเพื่อล้างความจำในชาติก่อนให้หมด



             อนึ่ง นอกจากคณะเทพสุภาแห่งยมโลก ยังมีคณะเทวีทัณฑกรอีกคณะหนึ่งประจำอยู่ในยมโลกเช่น กัน เรียกว่า อิรินนีอิส (Erinyes) ทำหน้าที่ลงทัณฑ์แก่ดวง วิญญาณของผู้ประพฤติผิดทำนองคลองธรรมใน มนุษย์โลก ในชั้นเดิมเทวีทัณฑกรคณะนี้มีหลายองค์แต่ในที่สุดมีเหลือที่กล่าวนามเพียงสาม คือ ไทสิโฟนี (Tisiphone)  มีกีรา (Megaera)และ อเล็กโต (Alecto) แต่ละองค์มีรูปลักษณะดุร้ายน่ากลัว มีงูพัน เศียรยั้วเยี้ย ใครๆที่ทำบาปกรรมไว้ในโลกมนุษย์ จะหนีทัณฑกรรมที่เทวีทั้งสามพึง ลงเอาไม่พ้นไปได้เลย คำ อังกฤษเรียกเทวีทั้งสามนี้โดยรวมๆกันไปว่า The Furies



             เนื่องด้วยอุปนิสัยของเทพฮาเดส จ้าวแดนบาดาล ออกจะเย็นชาแข็งกร้าว ปราศจากความเวทนาสงสารให้แก่ผู้ใด แต่เต็มไปด้วยความยุติธรรมทุกขณะ เช่นนี้ จึง เป็นเหตุให้ ท้าวเธอยากจะหาสตรีมาเป็นชายาครองบัลลังก์ปรโลกคู่กันได้เลย ดังนั้น เมื่อท้าวเธอเสด็จขึ้นมาบนพื้นพิภพในวันหนึ่ง และประสบพบพานโฉมงามนาม เพอร์เซโฟนี (Persephone) ธิดาองค์เดียวของเจ้าแม่โพสพเทวี ดีมีเตอร์ เข้าให้ ฮาเดสลืมเลือนไปหมดสิ้นว่า อนงค์นางนี้ที่แท้จริงคือหลานในไส้ของตน เพราะว่า ดีมิเตอร์เทวีเป็นน้องนางของพระองค์นั่นเอง จ้าวแห่งแดนบาดาลจึงไม่รอช้า ฉุดคร่าเอาตัวเพอร์เซโฟนีลงไปสู่ดินแดนใต้พิภพ เพื่อครองคู่เป็นราชินีปรโลกด้วยความมิเต็ม ใจของนาง



             ครั้นเมื่อซูสเทพบดีทรงตัดสินความให้เทพฮาเดสส่งเพอร์เซโฟนีคืนแก่พระมารดา ฮาเดสก็ใช้เล่ห์ เพทุบายลวงให้นางต้องมาหาท้าวเธอปึละ 3 เดือนทุกปีไป ดังนั้นในปึหนึ่ง ๆ ฮาเดสจึงเป็นเทพพ่อม่ายอยู่ถึง 9 เดือน มี เวลาได้ร่วมเขนยกับมิ่งมเหสีเพียงปีละ 3 เดือน เท่านั้น



             แต่ทั้งที่ต้องประทับอยู่อย่างเดียวดายนานถึงปึละ 9 เดือน เทพฮาเดสก็พิสูจน์องค์เองว่าเป็นสวามีที่ซื่อสัตย์พอสมควร ตลอดเรื่องราวประวัติของท้าวเธอ ปรากฏว่าฮาเดสมีเรื่องนอกใจชายาเพียง 2 ครั้งเท่านั้น



             ครั้งหนึ่งได้แก่ ทรงหลงเสน่ห์ความน่ารักของนางอัปสรนามว่า มินธี (Minthe) แต่ทว่าความรักนี้มิยั่งยืน ด้วยเหตุที่พระแม่ยายดีมิเตอร์เทวีทรงร้ายเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบหน้าฮาเดสเท่าใดนัก แต่เมื่อท้าวเธอทำท่าจะนอกใจ ธิดาของตนเข้าให้ เจ้าแม่ก็พิโรธโกรธเกรี้ยวจนกระทั่งไล่กระทืบมินธีนางอัปสรผู้น่าสงสารตายคาบาทของเจ้าแม่ จ้าว แดนบาดาลเวทนาสงสารนางอัปสรน้อยนั้น จึงเปลึ่ยนร่างของนางให้กลายเป็นพืชชนิดหนึ่งมีกลิ่นหอม และได้กลายเป็น พืชประจำพระองค์ตลอดมา



            ส่วนการนอกใจครั้งที่สองนั้นได้แก่ ทรงรักชอบพอกับนาง เลอซี (Leuce) ธิดาของอุทกเทพโอซียานุส แต่นางเลอซีมีบุญน้อย เพราะป่วยตายเสียก่อนที่จะตายด้วยมือของเจ้าแม่ดีมิเตอร์หรือเพอร์เซโฟนีเทวี หลังจากที่นาง ตายไปแล้วก็กลายร่างเป็นต้นพ็อปลาร์ขาว ซึ่งกลายเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในการทำพิธีการลึกลับ ณ เมืองอีเลอซีส แต่ไม้ใหญ่ อันเป็นพฤกษชาติประจำองค์ของเทพฮาเดสนั้นกลับเป็นต้นสนเศร้า (Cypress) ส่วนดอกไม้ที่กำเนิดจากมินธีแล้ว ยังได้แก่ดอกขาวบริสุทธิ์ของนาร์ซิสซัส



             ผู้คนในสมัยโบราณจะถวายสักการะแด่เทพฮาเดสด้วยแกะดำ ทำให้กลายเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับสืบมาที่จะบูชา ยัญแด่เทพแห่งมรณะหรือเทพแห่งความชั่วร้ายอื่น ๆ ด้วยแพะหรือแกะสีดำเช่นเดียวกัน


อ้างอิง

http://www.tumnandd.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%AE%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AA-hades-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A5/

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พญาครุฑ

"พญาครุฑ"
เทพพาหนะแห่งพระวิษณุ
ครุท พญาครุท ครุฑ พญาครุฑ

พญาครุฑ สัตว์เทพ พาหนะแห่งมหาเทพวิษณุและพระแม่ลักษมีเทวี / dollsofindia.com
พญาครุท พาหนะเอกแห่งพระศรีมหาวิษณุเทพ
พญาครุทเทพเจ้าครึ่งนกครึ่งมนุษย์ ผู้อยู่เคียงข้างพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์มหาเทพ
ครุท พญาครุท ครุฑ พญาครุฑ

พญาครุฑ : เทพพาหนะ
คัมภีร์ปุราณะของฮินดูเล่าถึงกำเนิดพญาครุฑไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระทักษะปชาบดีได้ยกสิบสามนางให้พระกัศยปเทพบิดร (Kasyapa) ซึ่งธิดาสององค์ คือนางวินตา (Vinta) และนางกัทรุ (Kadru) แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โดยนางกัทรุขอพรจากพระกัศยปให้มีบุตรเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีบุตรเพียงสององค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าบุตรของนางกัทรุ

นางกัทรุคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งพันฟอง เมื่อเวลาผ่านไปห้าร้อยปีกก็บังเกิดเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตา คลอดลูกเป็นไข่สองฟอง หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานไข่ก็ยังไม่ฟักเป็นตัว นางวินตาจึงทุบไข่ใบแรกปรากฏเป็นเทพมีเพียงครึ่งองค์ ไม่มีท่อนล่าง เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดนามว่า อรุณเทพบุตร

 ครุท พญาครุท ครุฑ พญาครุฑ

พระอรุณโกรธนางวินตา ที่ทำให้ตนพิการ จึงสาปให้ต้องไปเป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลาห้าร้อยปี แต่ก็บรรเทาคำสาปว่า หากนางวินตาสามารถทนรอไปอีกห้าร้อยปีจนไข่อีกฟองหนึ่งฟักเป็นตัว บุตรในไข่ใบที่สองจะช่วยนางให้พ้นคำสาป
ต่อมานางวินตา และนางกัทรุแข่งพนันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดแพ้ต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกเข้าไปแทรกอยู่ในรถขนม้า เพื่อให้สีเปลี่ยนไป นางวินตาจึงแพ้พนัน กลายเป็นทาสของนางกัทรุ

หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปี ไข่ใบที่สองก็แตกออกมาเป็นบุตรผู้มีกำลังมหาศาล มีรัศมีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศีรษะจงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี แต่ร่างกายและแขนขาเหมือนมนุษย์มีนามว่า "เวนไตย" (แปลว่า เกิดจากนางวินตา)
 

เมื่อพญาเวนไตยเติบโตขึ้น ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย จึงขอไถ่ตัวนางวินตาจากเหล่านาค พวกนาคก็ยินยอม โดยมีข้อแม้ว่า พญาเวนไตยต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์มาให้พวกตน

พญาเวนไตยตกลง โดยก่อนออกเดินทางได้ขอพรจากมารดา ซึ่งนางวินตาบอกว่า ระหว่างทางหากหิว ให้กินเฉพาะคนป่าเถื่อน (นิษาท) และห้ามทำอันตรายพวกพราหมณ์โดยเด็ดขาด พญาเวนไตยก็รับคำมารดา


พญาครุฑและนาค คู่ปรับตลอดกาล
พญาครุฑและนาค คู่ปรับตลอดกาล

ในระหว่างทางเมื่อเกิดความหิวก็จับพวกนิษาทกินเป็นอาหารแต่ก็ไม่อิ่ม จึงไปจับเต่า (วิภาวสุ) และช้าง (สุประตึกะ) ซึ่งเดิมเป็นอสูรพี่น้อง แต่เกิดความโลภแย่งสมบัติกัน ต่างฝ่ายต่างสาปให้กลายเป็นเต่าและช้างที่มีขนาดใหญ่โตมาก พญาเวนไตยเอาปากคาบสัตว์ทั้งคู่บินไปเกาะกิ่งไทรที่มีความยาวถึงหนึ่งร้อยโยชน์ แต่กิ่งไทรทานน้ำหนักไม่ไหว หักลงมา พญาเวนไตยแลเห็นว่าบนกิ่งไทรมีพวกฤาษีแคระซึ่งเรียกว่า "พาลขิยะ" มีขนาดเท่านิ้วมือ จึงเอาเท้าจับกิ่งไทรบินพาไปวางไว้ที่เขาเหมกูฏ





นารายณ์ทรงครุฑ ปางสำคัญแห่งพระวิษณุมหาเทพผู้รักษาโลก

พวกฤๅษีเห็นว่าพญานกตนนี้มีจิตใจงดงาม จึงให้ชื่อว่า "ครุฑ" (Garuda ภาษาเดิมอ่านว่า คะ-รุ-ทะ) แปลว่าผู้รับภาระอันหนัก ทั้งยังให้พรว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใดให้สำเร็จตามประสงค์ และให้มีพละกำลังมหาศาล ไม่มีผู้ใดต้านทานได้

จากนั้น พญาครุฑก็บินไปยังเทวโลก นำน้ำอมฤตออกมา พระวิษณุเสด็จมาพบเข้าจึงสู้รบกัน แต่ต่างไม่สามารถเอาชนะกันได้ พระวิษณุทรงพอพระทัยจึงทรงให้พรตามที่พญาครุฑต้องการ พญาครุฑขอพรสองประการคือ ขอเป็นพาหนะให้พระวิษณุในเวลาเสด็จไปยังที่ต่างๆ แต่ในยามปกติขออยู่เหนือพระวิษณุ และขอให้มีความเป็นอมตะแม้จะไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตก็ตาม พระวิษณุก็ทรงให้พรตามที่ขอ และยังทรงอนุญาตให้สามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้ ยกเว้น "เศษะนาค" และ "นาควาสุกรี" ซึ่งเป็นผู้เคารพในพระองค์
เมื่อพญาครุฑออกเดินทางต่อ ปรากฏว่าพระอินทร์ตามมาแย่งน้ำอมฤตคืน เกิดสู้รบกัน พระอินทร์สู้ไม่ได้ จึงทำสัญญาเป็นมิตรกัน พญาครุฑบอกให้พระอินทร์ตามไปเอาน้ำอมฤตคืนหลังจากที่ตนส่งน้ำอมฤตให้พวกนาคแล้ว
เมื่อพญาครุฑกลับมา ก็นำน้ำอมฤตไปไถ่ตัวมารดา แล้วออกอุบายให้พวกนาคไปชำระร่างกายก่อนดื่มน้ำอมฤต เมื่อพวกนาคหลงกล พระอินทร์ก็ทรงฉวยเอาน้ำอมฤตกลับสวรรค์
ด้วยเหตุดังกล่าว พญาครุฑจึงเป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ ในยามที่เสด็จไปยังที่ต่างๆ ส่วนในยามปกติพญาครุฑจะอยู่บนเสาธงนำขบวนของพระวิษณุ เรียกว่า ครุฑธวัช



นอกจากตำนานข้างต้นแล้ว ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์

ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น ซึ่งจากการที่เราใช้ ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย

เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ธงมหาราช
เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ธงมหาราชนี้ เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่า พระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ ๓ ลำคือเรือครุฑเหินเห็จเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน

นอกเหนือจากการที่ ตราครุฑปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์มโดยมีข้อความประกอบว่า โดยได้รับพระบรมราชานุญาต

ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูปเป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน

ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ



อ้างอิง



                      ยูนิคอร์น (Unicorn)

 
 
ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นแรกเกิดมีขนสีทอง และจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด และขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
 
โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องแวะกับมนุษย์ และจะยอมให้แม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและรักความสันโดษ เรื่องเล่าของยุโรประบุว่าการจับยูนิคอร์นนั้นต้องใช้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้จับยูนิคอร์น ซึ่งยูนิคอร์นจะลืมสัญชาตญาณป่าเถื่อนและเชื่องราวกับเป็นม้าธรรมดา

 
 
การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู
 
ยูนิคอร์นได้รับการแปลความหมายแทนสิ่งต่าง ๆ มากมาย เขาที่อยู่บนหัวถือเป็นสัญลักษณ์ของ พลัง อำนาจ ความเข้มแข็ง และความเป็นลูกผู้ชาย ในบางตำนานยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ สะอาด บางตำนานเชื่อว่ายูนิคอร์นมีสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยง ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย นั่นคือ เขาของมันแทนเพศชาย และลำตัวแทนเพศหญิง ชื่อภาษาจีนของยูนิคอร์น คือ ki-lin ซึ่งแปลว่า ผู้ชาย-ผู้หญิง

 
 
ยูนิคอร์น(Unicorn)
คำว่า Unicorn คือคำในภาษาอังกฤษ ในภาษาละตินคือ Monocerus (เอกพจน์) และ Monoceri (พหูพจน์) ในภาษาโรมันคือ Equus Unicornis (เอกพจน์) และ Equi Unicornes (พหูพจน์) จากข้อมูลบางแหล่งกล่าวว่า คำว่า Unicorn มาจากคำว่า Uni ที่แปลว่า"หนึ่ง" และ Cornu ที่แปลว่า"เขา"ในภาษาละติน
ฮิโรโดทัส(Herodotus) อาจจะเป็นคนแรกสุดที่อ้างถึงยูนิคอร์น เขาเขียนเกี่ยวกับลามีเขาของแอฟริกา เมื่อประมาณสามศตวรรษก่อน ค.ศ. ลักษณะของยูนิคอร์นมาจากการกล่าวของ ซีทีเซียส(Ctesias) นักประวัติศาสตร์และแพทย์ ผู้ซึ่งไปเปอร์เซีย และนำเรื่องที่น่าอัศจรรย์นี้มาจากพ่อค้าซึ่งเดินทางผ่านอินเดีย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พบด้วยตนเอง แต่อธิบายสัตว์ที่เรียกว่า ลาป่าอินเดีย ไว้ว่า มีขนาดเท่ากับม้า ร่างกายสีขาว หัวสีแดง ตาสีน้ำเงินอ่อน และมีเขาตั้งตรงอยู่กลางหน้าผาก เขาอธิบายเพิ่มอีกว่า ส่วนล่างของเขาเป็นสีขาว ตรงกลางเป็นสีดำ และปลายเป็นสีแดง ซีทีเซียสได้พูดถึงยูนิคอร์นว่ามีเท้าที่ว่องไวเป็นพิเศษ ไม่สามมารถเลี้ยงให้เชื่องได้ และเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจับ
พลินี(Pliny) นักเชียนโรมัน ค.ศ. 23-79 ลงความเห็นว่ายูนิคอร์นมีชีวิตอยู่ในอินเดีย เขากล่าวไว้ในสารานุกรมชื่อ Historia Naturalis ว่ายูนิคอร์นมีร่างกายของม้า เท้าของช้าง หางของหมูป่า และมีเขาเดียวสีดำยาวสองศอกตั้งอยู่กลางหน้าผาก
อย่างไรก็ตามยูนิคอร์นเป็นสัตว์ในตำนานที่โดยทั่วไปแล้วถูกพรรณนาว่ามีหัวและลำตัวของม้า ขาหลังของกวาง หางของสิงโต และมีเขายาวเรียวงอกจากกลางหน้าผาก ตามตำนาน ยูนิคอร์นมีสีขาวบริสุทธิ์ กีบเท้าแยก ตาสีน้ำเงิน เป็นสัตว์ลักษณะม้ามีเขาเดียวอยู่ที่หน้าผาก ยาวประมาณหนึ่งฟุต ครึ่งล่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เหนือขึ้นไปแหลมและเป็นสีแดง
ตามตำนานแล้วนะคะ หญิงพรหมจารีสามารถทำให้ยูนิคอร์นเชื่องได้ เมื่อยูนิคอร์นเห็นหญิงพรหมจารีจะเข้าไปใกล้แล้วซบตัก จึงเป็นการง่ายที่จะถูกจับหรือถูกฆ่าโดยนายพรานที่ซุ่มอยู่
ศัตรูของยูนิคอร์นคือสิงโต ในนิทานของยุคกลางเล่าว่า ยูนิคอร์นจะปราบศัตรูของมันโดยวิธีต่อไปนี้ สิงโตจะวิ่งไปที่ต้นไม้ ล่อยูนิคอร์นเพื่อที่จะพุ่งเข้าใส่ ในขณะที่ยูนิคอร์นเข้าไปใกล้สิงโตจะเดินเลี่ยงไป และยูนิคอร์นจะพุ่งเข้าไปยังต้นไม้ ซึ่งอัดเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นสิงโตจะตกลงบนศัตรูที่ทำอะไรไม่ได้ของมัน
ตำนานอื่นเล่าอีกว่าในการต่อสู้ของยูนิคอร์นกับช้าง สุดท้ายช้างจะถูกเขายูนิคอร์นแทงถึงแก่ความตาย(โหดร้ายจิงๆคะ)
เขายูนิคอร์นมีประโยชน์ที่วิเศษอย่างมาก ภาชนะที่ทำจากเขายูนิคอร์นสามารถต่อต้านและแก้พิษในอาหารได้ มีข้อความกล่าวไว้ว่า ถ้วยที่ทำจากเขายูนิคอร์นสามารถป้องกัน อาการสั่น, โรคลมบ้าหมู และพิษได้ ถ้าดื่มน้ำหรือของเหลวที่ใส่ในถ้วยนั้น และมีอีกข้อความหนึ่งกล่าวว่า มันเป็นความเชื่อที่ว่าถ้ามันหลั่งน้ำออกมา อาหารหรือเครื่องดื่มในภาชนะนั้นเป็นพิษ นอกจากนี้ผงตะไบจากเขาของมัน สามารถใช้ทำยาต่อต้านยาพิษร้ายแรงได้ และเมื่อนำมาทำเป็นเครื่องอัญมณีจะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้าย(ในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ ได้นำเขายูนิคอร์นมาปรุงยาด้วยคะ)
ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้ว เขายูนิคอร์นมีค่ามากกว่าทองคำ ดังนั้น พระราชา,จักรพรรดิ และพระสันตปาปา เป็นคนในกลุ่มไม่กี่คนที่สามารถสนองความต้องการราคาที่สูงนี้ได้ พวกเขาอยากได้เขาที่มีค่านี้มาเพื่อรับรองว่าจะมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพดี การขายที่ได้กำไรงามนี้ ขายเขายูนิคอร์นเทียมอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำจากเขาวัว,เขาแพะ หรือในบางกรณีจากสัตว์ต่างประเทศ กระดูกสุนัขธรรมดา หรืองาของปลาวาฬชนิดหนึ่งชื่อว่า "Narwhal"
ในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ซึ่งอ้างว่าเป็นเขายูนิคอร์นได้มีการขายตลอดทั้งยุโรปในราคางาม
ในคัมภีร์ไบเบิลมีการกล่าวถึงยูนิคอร์นไว้มากมาย ในคัมภีร์ Genesis กล่าวว่าพระเจ้าให้งานอะดัมตั้งชื่อทุกสิ่งที่พบ ในบางการแปลของไบเบิล ยูนิคอร์นเป็นสิ่งแรกที่ได้มีการตั้งชื่อ และเมื่ออะดัมกับอีฟออกจากสวรรค์ ยูนิคอร์นก็ได้ตามมาด้วยคะ
คัมภีร์ไบเบิลเสนอข้ออธิบายว่า ทำไมยูนิคอร์นจึงไม่ได้ถูกเห็นเป็นเวลานาน ระหว่างน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ 40 วัน 40 คืนโนอาร์นำสัตว์มาชนิดละสองตัว แต่ไม่มียูนิคอร์นรวมอยู่ด้วย (น่าแปลกจิงๆคะ)แต่นิทานยิวอ้างว่า แต่เดิมมันอยู่บนเรือ แต่ต้องการพื้นที่และการเอาใจใส่มาก โนอาร์จึงขับไล่พวกมันไป พวกมันจมน้ำหรือกระเสือกกระสนว่ายน้ำไประหว่างน้ำท่วม และยังคงมีชีวิตอยู่บางแห่งบนโลก
ในศาสนาคริสต์ ยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และพรหมจรรย์ และเป็นเครื่องหมายของพระแม่มารี และนักบุญจุสตินาคะ
 
อ้างอิง
 
 
 
 


เทวีไอซิส

ไอซิส

   
เทวีไอสิส
เทวีไอซิส (อังกฤษ: Isis) เป็นหนึ่งในเทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์

เทวีไอซิส

เทวีไอซิส บางตำราว่าเป็นธิดาของเทพเกบและเทพีนุต แต่ตำราที่จะเล่าต่อไปนี้ เทพีไอซิสเป็นธิดาของเทพรากับเทพีนุต (หรือ เทพีนัต) ซึ่งต้นกำเนิดของพระนางเริ่มมาจาก หลังจากที่เทพราได้อภิเษกกับเทพีนุตแล้ว เทพราปรารถนายิ่งนักที่จะได้โอรสธิดา แต่รอแล้วรอเล่าเทพีนุตก็ไม่ทรงครรภ์ เทพราทรงพิโรธ จึงได้สาปว่าเทพีนุตไม่มีวันที่จะตั้งครรภ์ได้อีก เทพีนุตเสียใจเป็นอันมากจึงได้ไปปรึกษาเทพธอทแห่งความรอบรู้ ซึ่งหลงรักเทพีนุตตลอดมา เทพธอทจึงแลกเปลี่ยนว่าถ้าเทพีนุตมีโอรสธิดาให้เทพราได้ พระนางต้องมอบความรักให้แก่เทพธอท ซึ่งเทพีนุตก็ตกลง
เทพธอทได้ไปท้าพนันกับเทพคอนชู เทพพระจันทร์ซึ่งโปรดปรานการพนัน โดยแสร้งเดินหมากกันจนหลงวันลืมคืน เทพคอนชูไม่รู้เท่าทันเล่ห์กลจึงเปล่งแสงอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งแสงมีมากพอเท่ากับแสงจากพระอาทิตย์จำนวน 5 วัน เทพธอทจึงเลิกเล่นหมากกับเทพคอนชู จากนั้นมาเพราะแสงมีไม่มากพอ เทพคอนชูจึงจำเป็นต้องลดแสงลงบ้างเวลาตอนกลางคืน กำเนิดเป็นข้างขึ้นข้างแรมแต่นั้นมา
เทพธอทนำแสงที่นอกเหนือจากแสงอาทิตย์ของเทพรามาสร้างเป็นวันจำนวน 5 วันพอให้เทพีนุตตั้งครรถ์ ทำให้เกิดเหล่าเทพเทพีจำนวน 5 องค์ คือ
1. วันที่หนึ่ง เทพีนุตให้กำเนิดเทพโอซีริส เทพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ (การกำเนิดของพระองค์เลื่องลือไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์ ด้วยเทพโอซิริสเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่มาก)
2. วันที่สอง เทพีนุตให้กำเนิดเทพฮามาร์คิส เทพเจ้าแห่งรุ่งอรุณและเทพนักรบ หรือนัยหนึ่งคือ สฟิงซ์
3. วันที่สาม เทพีนุตให้กำเนิดเทพเซต เทพเจ้าแห่งความชั่วร้าย (เทพเซตกำเนิดในฤกษ์ร้าย และฉีกครรภ์ของพระมารดาออกมา)
4. วันที่สี่ เทพีนุตให้กำเนิดเทพีไอซิส เทพีแห่งความรักและไสยศาสตร์
5. วันที่ห้า เทพีนุตให้กำเนิดเทพีเนฟธิส เทพีผู้คุ้มครองวิญญาณคนตาย ต่อมาเป็นชายาเทพเซต
เทพีไอซิสกับเทพโอซิริสนั้นหลงรักกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของเทพีนุต ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันและเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ เทพโอซิริสทรงมีวิสัยผู้นำและเก่งกล้าสามารถ ส่วนเทพีไอซิสเก่งกาจด้านมนตราทั้งหลายและมีสติปัญญาเปรื่องปราดนัก กระทั่งครั้งหนึ่ง เทพีไอซิสคิดอยากให้เทพโอซิริสได้ขึ้นครองบัลลังก์ไอยคุปต์ จึงใช้สติปัญญาของพระนางลวงเทพรา จนเทพราหลงบอกพระนามจริงซึ่งผู้ใดรู้จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ พระนางเลยมอบฤทธิ์ให้แก่เทพโอซิริส เพราะเหตุนั้นเทพราจึงสละบัลลังก์ให้แก่เทพโอซิริส เมื่อเทพโอซิริสขึ้นเป็นเทพราชา พระองค์จึงจัดอภิเษกสมรสกับเทพีไอซิสเป็นพระราชินีเคียงคู่กัน
อียิปต์รุ่งเรืองอย่างมากในยุคสมัยของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส ทั้งสองสั่งสอนประชาชนให้รู้จักอารยธรรม และประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ จนเหล่าราษฏรต่างเคารพนับถือในเทพเทพีทั้งสองเป็นอย่างมาก แต่เรื่องราวต่างๆไม่รอดพ้นสายตาของเทพเซตผู้ริษยาเทพเชษฐามาตลอด เทพเซตต้องการเป็นพระราชา จึงสังหารเทพโอซิริสใส่โลงลอยตามแม่น้ำไนล์ไป ในขณะนั้นเทพีไอซิสมิได้อยู่ใกล้ชิดสวามี พระนางเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก
เทพเซตยึดบัลลังก์และตั้งตัวเป็นใหญ่ แต่ทว่าเส้นทางของเทพผู้ชั่วร้ายไม่ราบรื่นเพราะเทพีไอซิสตั้งครรภ์ ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ เทพีไอซิสสืบเสาะหาร่องรอยสวามีไปทั่วไอยคุปต์อย่างยากลำบากถึงขนาดต้องประสูติโอรส เทพโฮรัส หรือ เทพฮอรัส กลางเส้นทาง เทพีไอซิสมอบโอรสในปกครองของเทพีบูโตทั้งที่ห่วงหาเป็นยิ่งนัก แต่พระนางจำเป็นต้องนำพระศพมาประกอบตามพิธี ไม่เช่นนั้นเทพโอซิริสก็ไม่สามารถไปยังดินแดนแห่งความตายได้
เทพีไอซิสพบพระศพหลังจากตามหามาแสนนาน พระนางซบพระพักตร์ร่ำไห้กับโลงสวามีและจะนำพระศพไปประกอบพิธี แต่เทพเซตผู้ชั่วร้ายก็ตามหาพระศพเจอ จึงได้ฉีกศพเทพโอซิริสขาดวิ่นและโยนไปทั่วไอยคุปต์ เทพีไอซิสจึงต้องตามหาพระศพของสวามีอีกครั้งอย่างแสนเข็ญยิ่งกว่าเดิม
แต่โชคร้ายยังไม่จากเทพีไอซิสไป เมื่อเทพเซตต้องการล้างเสี้ยนหนามขวางทางสู่การเป็นราชา จึงได้ส่งงูไปสังหารเทพโฮรัสที่ยังเป็นแค่ทารกจนสิ้นใจในอกของพระนาง เทพีไอซิสต้องประสบเคราะห์กรรมสาหัส แต่เหล่าทวยเทพบอกพระนางว่า เทพโฮรัสจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก แถมจะเก่งกล้าสามารถถึงขั้นสังหารเทพเซตลงได้ ขอให้พระนางติดตามพระศพต่อไปเถิด
เทพีไอซิสต้องการแก้เผ็ดเทพเซต จึงแปลงกายเป็นเทพีเนฟธิสขอคำสาบานจากเทพเซตว่า จะไม่ทำร้ายโอรสของพระนางจนกว่าโอรสของพระนางทำร้ายเทพเซตก่อน ซึ่งจะทำให้เทพโฮรัสฟื้นคืนชีพมาได้สำเร็จและปลอดภัยจนกว่าจะเติบใหญ่ เทพเซตนึกว่าเทพีเนฟธิสเป็นผู้พูดจึงตกปากรับสาบาน ทันใดนั้นเทพีไอซิสก็เผยร่างจริงออกมา ทำให้เทพเซตเดือดดาลเป็นอันมาก
หลังจากทุกข์ทรมาณกายใจมาตลอดหลายปี เทพีไอซิสก็ติดตามชิ้นส่วนของเทพโอซิริสจนครบและประกอบพิธีศพได้ โดยมีเทพอานูบิส เทพแห่งความตาย (โอรสที่เกิดแต่เทพีเนฟธิสผู้หลงรักเทพโอซิริส พระนางได้แปลงกายเป็นเทพีไอซิสและมอมสุราเทพโอซิริส จนมีเทพอานูบิส แต่บางที่ก็ว่าที่แท้จริงแล้วเทพอานูบิสเป็นโอรสเทพีเนฟธิสกับเทพเซตนั่นเอง) เป็นผู้ทำพิธีศพให้ มีการพันผ้ารอบศพและลงน้ำยา ก่อให้เกิดการทำมัมมี่ขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อเทพโอซิริสไปถึงดินแดนแห่งความตายแล้ว พระองค์ก็ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นราชาแห่งโลกของคนตาย
เวลาแห่งการล้างแค้นมาถึง เมื่อเทพโฮรัสได้ฟื้นขึ้นจากตาย (พระองค์มีสัญลักษณ์คือนกฟีนิกซ์ วิหคอมตะ) เทพบิดา เทพมารดา และเหล่าทวยเทพอีกมากมายได้สั่งสอนสิ่งต่างๆจนเทพโฮรัสเก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ต่อมาเทพโฮรัสปราบเทพเซตลงได้ตามคำทำนาย และเป็นเทพกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งไอยคุปต์ ครอบครองบัลลังก์อย่างชอบธรรม
ท้ายสุด เทพครอบครัวนี้ก็ได้มาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง ผู้คนในอียิปต์เมื่อบูชาเทพองค์ใดองค์หนึ่งในนี้ ก็จะบูชาเทพทั้งสององค์ร่วมด้วย และเป็นสัญลักษณ์ต่อกันมาว่า ฟาโรห์ที่สิ้นพระชนม์ไปแทนเทพโอซิริส องค์รานีคือเทพีไอซิส และฟาโรห์องค์ต่อมาคือเทพโฮรัส

ลักษณะของเทวีไอซิส

สัญลักษณ์ของเทวีไอซิสมีลักษณะเป็นเทพี บางครั้งมีปีก เครื่องทรงศิราภรณ์เป็นรูปบัลลังก์คล้ายขั้นบันได


อ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%AA

เทพโอซีริส (Osiris)

เทพโอซีริส (Osiris) เทพแห่งสันติ ของชาวอียิปต์

 
 
 
ชื่อนี้คือชื่อเทพรุ่นแรกสุดของอียิปต์
เป็นเทพที่ได้ชื่อว่ารังเกียจความรุนแรงจับใจที่สุดองค์หนึ่ง ความรังเกียจเช่นนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจจริงๆ
ไม่ช้าไม่นานเมื่อท้าวเธอต้องกลายมาเป็นเทพผู้ปกครองอียิปต์พระองค์พบว่า
ประชากรอันมากมายของพระองค์เวลานั้นเป็นพวกป่าเถื่อนแบบบริสุทธิ์จริงๆ
ทั้งไม่สามรถคิดอ่านอะไรเองได้เนื่องจากความไม่รู้ และยังไร้ศีลธรรมอีกด้วย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
โอซิริสก็ยังสามรถโน้มน้าวบรรดาประชาชนเหล่านั้นให้มาเชื่อฟังกฎระเบียบของ
พระองค์ได้
เชื่อไหมว่าพระองค์สอนด้วยวิธีสันติเพียงอย่างเดียวให้รู้ถึงการอยู่ร่วมกัน
อย่างเป็นสุข ตั้งสังคมขึ้น และบริหารสังคมนั้นด้วยวินัยและศีลธรรม
โอซิริสสอนให้มีการเพาะปลูกทั่วไป สอนให้ทำขนมปังเป็นอาหาร
แถมยังสอนให้หมักไวน์และเบียร์เพื่อความสนุกสนานอีกซะด้วย

โอซิริ
สสร้างบ้านแปลงเมือง สร้างวัดวาอารามและมีการสร้างเทวรูปไว้บูชาเป้นรูปแรก
พระองค์สร้างดนตรีไว้เพื่อความเพลิดเพลินและการบูชาภายใต้การปกครองของโอซิ
ริสและมเหสีคือ ไอซิส (Isis)
อียิปต์กลายเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ในโลกโบราณเชียวล่ะ
แล้วตอนนั้นเองที่โอซิริสตั้งใจว่าจะเผยแพร่อารยธรรมของพระองค์ไปทั่วโลก

แต่
เนื่องจากเป็นคนที่เกลียดความรุนแรง
ในการเผยแพร่อารยธรรมในครั้งนี้โอซิริสจึงไม่ได้ใช้กำลังทางทหารเลย
พระองค์ใช้เวทมนตร์ของดนตรีและบทเพลงของพระองค์เท่านั้น
แต่ว่าชาติแล้วชาติเล่าก็ต้อนรับอารยธรรมที่พระองค์นำไปให้
ท้ายที่สุดเมื่อโอซิริสกลับถึงบ้านพระองค์ก็ได้เผยแพร่ความเจริญให้กับส่วน
อื่นๆ ของโลกจนครบ

ส่วนในอียิปต์ตอนที่โอซิริสไม่อยู่
ราชินีไอซิสก็ได้สานต่องานของพระสวามีด้วยการสอนผู้หญิงอียิปต์ในงานปั่น
ด้ายและทอผ้า สอนให้ผู้ชายรักษาคนป่วย ไอซิสคิดค้นการแต่งงาน
ซึ่งทำให้ผู้หญิงและชายจะแบ่งปันความสุขและแรงงานระหว่างกัน
ภายใต้การปกคองที่รุ่งเรืองของโอซิริสและไอซิสโลกของเราน่าจะมีสนติสุขจริงๆ
แต่นั่นจะต้องไม่มีเซท (Set)
น้องชายทรยศของโอซิริสเองซึ่งเป็นผู้ทำให้ยุคทองนี้ล่มสลายลง

ด้วย
นิสัยของมนุษย์เรานี่ละ ใช่ว่าจะมีคนแบบเดียวกันทั้งโลก
ดังนั้นพวกที่มีจิตคิดอิจฉาริษยาจึงเข้าพวกกับเซทกันมากเหมือนกัน
และพวกที่ร้ายๆ แบบนี้ก็พากันหาอุบายมาฆ่าโอซิริสจนสำเร็จ
จักการเอาพระศพยัดลงโลง แล้วเอาไปถ่วงในแม่น้ำไนล์
แต่ว่าโลงพระศพกลับล่องลอบออกไปทางปากแม่น้ำสู่ทะเลจนไปเกยฝั่งที่ฟีเนีย
เซีย
ราชินีไอซิสผู้โศกเศร้าได้พยายามติดตามหาพระศพของพระสวามีจนมาพบและได้ช่วย
ชุบชีวิตของพระองค์ขึ้นมาใหม่

ความผิดพลาดของการที่พระองค์ไม่
ปรารถนาที่จะใช้กำลังรุนแรงนนี่ละทำให้พระองค์พลาดอีกครั้งอย่างจังเบอร์เลย
เมื่อพระองค์ไม่ลงทัณฑ์เซท
กลับปล่อยเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามในที่สุดไม่ช้าไม่นานเซทก็วางแผนฆ่า
พระองค์อีกจนได้ คราวนี้สับพระศพแยกออกเป็นส่วนๆ ถึงสิบสี่ชิ้น
กะไม่มีการชุบชีวิตขึ้นได้อีกครั้งโดยเด็ดขาด
แล้วเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโปรยทั่วอียิปต์
ร้อนถึงไอซิสผู้โชคร้ายต้องติดตามชิ้นส่วนของพระสวามีตามที่ต่างๆ
นำมาประกอบเป็นรูปร่าง
และคิดค้นเทคนิคการดองศพเพื่อชุบโอซิริสขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง

แต่
ว่าคราวนี้พระองค์กลับได้รับการเลือกให้เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งความตายนิ
รันดร์ เป็นที่ซึ่งพระองค์จะไม่คืนมาสู่อียิปต์ในรูปของมนุษย์อีกต่อไป
อียิปต์ในความดูแลของพระองค์เหลือเพียงเรื่องของการอำนวยผลแห่งความอุดมของ
ดินและสายน้ำที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดชีวิตของแม่น้ำไนล์ แล้วเซทผู้ริษยาล่ะ
หลังจากที่ฆ่าพี่ชายตายจนโอซิริสกลายเป็นเทพแห่งอาณาจักรในความมืดเซทยังไม่
ลดละความริษยาลงเลย ยังคงตามจองล้างด้วยการนำเอาความแห้งแล้ง
และพายุทรายมารบกวนอียิปต์อยู่เนืองๆ

ส่วนไอซิสราชินีหม้าย
ซึ่งแสนจะโสกเศร้ากับการจากไปของพระสวามีก็มีชะตากรรมสุดท้ายที่ไร้ความสุข
เมื่อโอรสของพระองค์กับโอซิริสคือ โฮรัส (Horus) ต้องการจะแก้แค้นเซท
พระนางทรงห้ามด้วยไม่ต้องกานให้เกิดความรุนแรงขึ้นตามนโยบายของพระสวามี
แต่คราวนี้โฮรัสเกิดบันดาลโทสะฟาดดาบตัดศีรษะพระมารดาสิ้นชีพ
พระนางไอซิสหลังจากสิ้นชีพแล้วก็กลายเป็นเทวีที่ช่วยให้คนตายได้ไปพบกับโอซิ
ริส ฉะนั้นคนดีที่กำลังจะตายเห็นจะไม่ต้องกลัวอะไร
เพราะเทพและเทวีคู่นี้จะเป็นผู้นำทางเขาไปนิรันดร์กาล…
 
 
อ้างอิง
 

อีรอส (Eros)

อีรอส (Eros) หรือ คิวปิด (Cupid) กามเทพ ถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก